ความคืบหน้าจากกรณีดรามาพ่อค้าโรตีท่าแพไล่หญิงนักท่องเที่ยวชาวไทยไปกินร้านอื่นเพราะถูกถามว่าจะล้างมือก่อนทำโรตีหรือไม่ โดยเรื่องนี้ถูกแชร์ออกไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นกระแสดังในโลกโซเชียล และเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักของชาวเชียงใหม่ที่มีต่อพฤติกรรมพ่อค้าโรตีรายนี้ บางส่วนให้ข้อมูลเพิ่มว่าเจอพฤติกรรมเช่นนี้กับตัวเองมาด้วยนั้น
จากการสอบถาม น.ส.สมาพร บรรณารักษ์ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุและโพสต์เรื่องราวดังกล่าว เปิดเผยว่า พื้นเพตัวเองเป็นชาวพิษณุโลก แต่งงานกับสามีชาวอเมริกันและย้ายไปอยู่ที่อเมริกาได้ 17 ปีแล้ว โดยตั้งแต่ช่วงโควิด-19 ไม่ได้กลับมาเที่ยวเมืองไทย และสามีเป็นคนชวนเองว่าอยากจะมาเที่ยวเชียงใหม่ นอกจากหัวเมืองอื่นในประเทศไทย จึงตัดสินใจมาเที่ยวเชียงใหม่ ซึ่งในคืนที่เกิดเหตุนั้นได้พาครอบครัว คือสามี และลูกอีก 2 คน ออกมาหาซื้อยา แต่ผ่านประตูท่าแพก็แวะมาเดินเที่ยว
ส่วนตัวเป็นคนชอบรับประทานโรตีมาก และยิ่งไปอยู่ต่างประเทศนาน เลยทำให้อยากกินมาก เมื่อสบโอกาสเห็นโรตีรถเร่เจ้าดังกล่าวจอดขายบริเวณลานประตูท่าแพจึงเข้าไปถาม แต่ไม่พบว่ามีเจ้าของร้านตรงรถ จึงอุ้มลูกชายยืนรอและจู่ๆ ก็มีพ่อค้าโรตีวิ่งออกมาจากหลังป้ายที่มีตั้งไว้บนพื้น จึงคิดว่าน่าจะนอนอยู่ตรงนั้น พอตนเองถามจะซื้อโรตี แต่ด้วยความที่เห็นว่าเพิ่งลุกมาจากพื้น และมือก็เล่นมือถืออยู่ อีกทั้งมีการปัดก้นมาทำท่าจะขายก็เลยท้วงว่าจะล้างมือก่อนหรือไม่
แต่ปรากฏว่ากลับถูกไล่ไปกินร้านอื่น และมีการด่าไล่หลัง ซึ่งตนเองได้ยิน รวมทั้งน้องสาวที่ยังยืนอยู่แถวรถขายโรตี ซึ่งเป็นคนถ่ายคลิปและภาพให้ ได้ยินชัดเจนว่ามีการพูดว่า “เรื่องมากก็ไม่ต้องแดก” จึงทำให้ตัวเองยิ่งรู้สึกโมโหและไม่พอใจอย่างมากกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของพ่อค้าโรตี จากการที่ตัวเองเพียงแค่ท้วงติงเพื่อความสะอาด ซึ่งเป็นสิทธิพื้นฐานที่ลูกค้าสมควรจะต้องได้รับอยู่แล้ว
ดังนั้นจึงนำเรื่องดังกล่าวมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งไม่คิดว่าโพสต์ดังกล่าวจะเป็นประเด็นใหญ่โตขึ้นมา เพราะตั้งใจเพียงอยากจะสะท้อนมุมมองในฐานะนักท่องเที่ยวที่ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น และหวังว่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ซึ่งหลังจากที่โพสต์ไปแล้วต่อมากลายเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวาง ทำให้รู้สึกตกใจมาก รวมทั้งทำให้ได้รับรู้และยืนยันได้ว่าคนเชียงใหม่จริงๆ น่ารักเป็นมิตรมาก
โดยตอนแรกที่โพสต์ยังคิดว่าจะทำให้เสียบรรยากาศการท่องเที่ยวในครั้งนี้ของตนเองกับครอบครัว แต่พอมาเห็นกระแสในโลกออนไลน์ ส่วนใหญ่ให้ความเห็นใจตนเองกับครอบครัว และปลอบใจ บางส่วนก็แนะนำร้านที่ดีๆ อร่อยสะอาดชื่อดังให้ ก็ทำให้รู้สึกดีกับชาวเชียงใหม่ เลยคิดว่าจะลบโพสต์ดีหรือไม่ แต่ก็อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงก็เลยปล่อยไป
ส่วนตัวคนขายโรตีนั้น มองว่าแม้จะเป็นคนต่างถิ่นมาทำมาหากินที่เชียงใหม่ก็ต้องเรียนรู้และทำให้ดีด้วยเพื่อรักษาชื่อเสียง โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกินนั้นความสะอาดมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เมื่อมองย้อนไป เห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเองแค่ไปอยู่ผิดที่ผิดเวลากับผิดคนเท่านั้น เพราะจากนั้นได้พาครอบครัวไปเที่ยวอีกหลายจุดของเชียงใหม่ก็ประทับใจบรรยากาศ และผู้คน

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการลงพื้นที่สังเกตการณ์ที่บริเวณลานประตูท่าแพล่าสุดช่วงเย็นวันที่ 22 มิ.ย. 67 พบว่ามีการใช้พื้นที่จัดงานกิจกรรมของเอกชน พร้อมทั้งมีเจ้าหน้าที่เทศกิจและตำรวจสายตรวจ ประจำการอยู่เพื่อกวดขันและห้ามพ่อค้าแม่ค้านำสินค้ามาวางขายบนลานประตูท่าแพ อย่างไรก็ตาม พบรถเร่ขายโรตีตามโพสต์ที่เป็นประเด็นจอดอยู่ใกล้เคียง โดยจากการพูดคุยกับนางหน่อย (นามสมมติ) ภรรยาที่กำลังตั้งท้องของพ่อค้าโรตี เปิดเผยว่า ตัวเองรู้สึกเสียใจและได้รับผลกระทบอย่างมากหลังจากที่โพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป เนื่องจากถูกผู้คนจำนวนมากเข้าไปรุมถล่มแสดงความคิดเห็นและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ไปจนถึงขั้นถูกเหยียดหยามด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ โดยที่ผู้คนเหล่านั้นไม่ได้รับรู้ความจริงทั้งหมด ทั้งนี้ยืนยันว่าตัวเองและสามีเป็นเพียงคนทำมาหากินคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นอันธพาลและเป็นคนต่างด้าวอย่างที่ถูกกล่าวหา รวมทั้งยืนยันด้วยว่าทำโรตีขายด้วยความสะอาดถูกสุขอนามัยตามหลักศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดเพราะตัวเองเป็นชาวมุสลิม
ขณะเดียวกันเห็นว่าในช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุนั้น หากคู่กรณีไม่มั่นใจความสะอาดก็สามารถเลือกที่จะไม่ซื้อได้ โดยไม่จำเป็นต้องพูดในลักษณะด้อยค่าหรือดูถูกเหยียดหยามกันจนเกิดการกระทบกระทั่งขึ้น ทั้งนี้มองว่าการที่คู่กรณีนำเรื่องราวไปโพสต์ไม่เป็นความจริงทั้งหมดและเป็นการกระทำที่เกินไป เพราะตัวเองไม่มีโอกาสแก้ตัว และถูกผู้คนทั่วไปดูหมิ่นเกลียดชังไปแล้ว รวมทั้งได้รับผลกระทบอย่างมากต่อการทำมาหากิน เนื่องจากลูกค้าไม่กล้าอุดหนุนจนขายของไม่ได้สักบาท ซึ่งคิดว่าทางคู่กรณีคงพึงพอใจแล้วที่ได้กระทำกับคนที่ไม่มีทางสู้เช่นนี้ แต่อยากวอนขอให้สังคมเข้าใจและเห็นใจฝ่ายตนเองบ้าง ซึ่งเวลานี้ทำได้แต่เพียงก้มหน้าก้มตารับชะตากรรมเท่านั้น