หน้าแรก
สสส. เตือนภัย! พบเยาวชน ป.3 เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้า ชี้ผู้ปกครองบางรายซื้อให้ลูกสูบ-ใช้ลูกเป็นเครื่องมือค้าขาย
เชียงใหม่, 24 สิงหาคม 2568 – สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้จัดอบรมให้ความรู้แก่เยาวชน ประชาชน และสื่อมวลชนท้องถิ่นในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างความตระหนักถึงพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้ารูปแบบใหม่ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชน พร้อมเผยข้อมูลที่น่าตกใจว่าพบเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เริ่มสูบบุหรี่ไฟฟ้า และบางกรณีผู้ปกครองยังให้เด็กนำบุหรี่ไฟฟ้าไปขายในลักษณะผ่อนวันละ 5 บาท หรือซื้อให้ลูกสูบเองเพื่อคลายเครียด
การอบรมในครั้งนี้จัดขึ้นที่โรงแรมวินทรี ซิตี้รีสอร์ทเชียงใหม่ ภายใต้โครงการพัฒนาเครือข่ายสื่อสุขภาวะลดปัจจัยเสี่ยงสู่ท้องถิ่น RUN (Reskill – Upskill – News skill) สร้างสรรค์สื่อในยุค Gen AI โดยมีนางชามานันท์ สุจริตกุล ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการสื่อสาร สสส. เป็นประธาน และนายสมชาย โต๊ะอีสอ เครือข่ายวิชาชีพสุขภาพเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ เป็นวิทยากร
นางชามานันท์ฯ กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น เหล้า บุหรี่ การพนันออนไลน์ และสิ่งเสพติด กำลังรุกคืบเข้าสู่สังคมอย่างรวดเร็ว โดยที่หลายคนยังขาดความรู้เท่าทัน จึงต้องจัดอบรมเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพิษภัยของบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งมีการพัฒนาไปถึง Gen 6 แล้ว หลายคนยังมีความเข้าใจผิดว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายน้อยกว่าหรือช่วยให้เลิกบุหรี่มวนได้
ข้อมูลจากนายสมชาย โต๊ะอีสอ และตัวแทนสภาเด็กและเยาวชนจังหวัดเชียงใหม่ ได้เผยถึงสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบันว่า อัตราการสูบบุหรี่ไฟฟ้าในกลุ่มเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีกรณีที่เด็ก ป.3 สั่งซื้อบุหรี่ไฟฟ้าทางออนไลน์มาส่งที่โรงเรียน และน่าตกใจยิ่งกว่าคือบางครอบครัวให้ลูกนำบุหรี่ไฟฟ้าไปขายผ่อนวันละ 5 บาท หรือผู้ปกครองบางรายซื้อให้ลูกสูบเองโดยอ้างว่าเพื่อคลายเครียด
ปัญหาที่น่าเป็นห่วงคือบุหรี่ไฟฟ้ามีการปรับรูปลักษณ์ให้เหมือนของเล่นหรือแกดเจ็ต มีหลากหลายกลิ่นและรสชาติ ทำให้เด็กหลงผิดและมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย หรือเป็นเพียงของสะสมที่เรียกว่า “ทอยพอต” ซึ่งสารเคมีในบุหรี่ไฟฟ้าสามารถทำลายสมองของเด็กซึ่งยังอยู่ในวัยบอบบางได้
สสส. จึงได้นำร่องโครงการอบรมใน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, อุดรธานี, อยุธยา, ชลบุรี และสงขลา เพื่อพัฒนาเครือข่ายสื่อท้องถิ่นให้เป็นนักสื่อสารสุขภาวะที่เข้มแข็ง และทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อหาแนวทางขับเคลื่อนการแก้ปัญหานี้ให้เกิดผลในชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเน้นการให้ความรู้ที่ถูกต้องและการทำงานแบบ “เพื่อนช่วยเพื่อน” เพื่อให้ข้อมูลเข้าถึงเยาวชนกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
